ไม่ว่าใครๆก็อยากมีหุ่นดีๆ กัน แต่พฤติกรรมการกินนั้นสวนทางกัน เพราะประเทศไทยมีแต่อาหารอร่อยมากมาย บางทีทำให้อดใจมากที่อยากจะไม่อยากทานลำบาก ซึ่งทำให้หลายคนอยากที่จะ “กิน” มากกว่า “ออกกำลังกาย” จึงทำให้น้ำหนักเกินอย่างไม่รู้ตัว พุ่งยื่น และมีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นบทความนี้จะมาแนะนำ “ปากกาลำน้ำหนัก” สำหรับคนที่น้ำหนักเกินกันครับ
โรคอ้วนอันตรายกว่าที่คิด
โรคอ้วน (Obesity) เป็นสภาวะที่มีการสะสมของไขมันในร่างกายเกินไป ซึ่งส่วนเกินนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Stroke) โรคเบาหวาน (Diabetes) โรคหลอดเลือดสมองของสมองส่วนต่าง ๆ (Cerebrovascular disease) โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) และมะเร็ง (Cancer) นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะทางจิตใจ เช่น ซึมเศร้า และภาวะเครียด
สาเหตุของโรคอ้วนสามารถมีหลายปัจจัย เช่น:
- พฤติกรรมการกิน: การบริโภคอาหารที่มีพลังงานมากเกินไป
- พฤติกรรมการเคลื่อนไหว: การเคลื่อนไหวน้อย หรือไม่มีการออกกำลังกายเพียงพอ
- พันธุกรรม: ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรม และโรคอ้วน
ปากกาลดน้ำหนักคืออะไร?
ปากกาลดน้ำหนัก (Weight-Loss Pen) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ หรือเทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการลดน้ำหนัก โดยในปากกาลดน้ำหนัก จะมีตัวยา Liraglutide ที่ทำงานคล้ายกับฮอร์โมนที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายที่ชื่อว่า Glucagon-like peptide-1 (GLP-1) ที่ช่วยควบคุมความหิว ที่ผลิตโดยเซลล์ L ในลำไส้เล็ก ที่หลั่งออกมาจากสำไส้หลังการรับประทานอาหาร และเป็นส่วนหนึ่งของระบบการควบคุมน้ำตาลในเลือด
ใครควรใช้ปากกา Saxanda
ตัวย่างของ ปากกา Saxenda® แนะนำให้ใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย และอาหารแคลอรี่ต่ำเพื่อการลดน้ำหนักในระยะยาวใน ตัวอย่างการใช้ได้แก่
- ผู้ใหญ่ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) 30 ขึ้นไป (โรคอ้วน)
- ผู้ใหญ่ที่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 27 ขึ้นไป (ซึ่งถือว่ามีน้ำหนักเกิน) และมีภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว
- เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเปอร์เซ็นไทล์ที่ 95 ขึ้นไป (ซึ่งถือเป็นโรคอ้วน)
ข้อดี และข้อเสียของการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนักหรือ Weight Loss Pen เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีดยาเข้าสู่ร่างกายเพื่อช่วยในการควบคุมน้ำหนัก โดย อุปกรณ์นี้มีข้อดี และข้อเสียดังนี้:
ข้อดี:
- ความสะดวกสบาย: ปากกาลดน้ำหนักทำให้การให้ยาเป็นเรื่องสะดวก และง่ายขึ้น โดยไม่ต้องใช้การเข็มฉีดยา
- ใช้งานได้ง่าย: อุปกรณ์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบริหารยาได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความชำนาญพิเศษ
- ความแม่นยำ: การใช้ปากกาลดน้ำหนักสามารถควบคุมปริมาณยาที่ให้ได้อย่างแม่นยำ
- สะอาด และปลอดภัย
ข้อเสีย:
- ค่าใช้จ่าย: ปากกาลดน้ำหนักอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- ข้อห้าม: บางผู้มีโรคเบาหวาน หรือโรคอื่นๆ อาจมีข้อห้ามในการใช้ปากกาลดน้ำหนัก ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งานเสมอ
ปากกา Saxenda® จะทำงานเพื่อลดน้ำหนักได้เร็วแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การลดน้ำหนักด้วย ปากกา Saxenda อาจแตกต่างกันไป อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับผู้ใช้ด้วย เช่น ใช้ปากกาลดน้ำหนักแต่ไม่ควบคุมอาหาร หรือออกกำลังกาย ก็อาจได้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่าผู้ที่ควบคุมอาหาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการใช้ปากกาลดน้ำหนัก
ปากกา Saxenda® 1 แท่ง ใช้ได้กี่วัน
สามารถใช้ได้นาน 1 เดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณโดสยาที่ควรได้รับในแต่ละบุคคลด้วย
ปริมาณยาที่ฉีดของปากกา Saxenda®
- เริ่มแรกจะเริ่มต้นด้วยการฉีดยาในปริมาณที่ต่ำก่อน หลังจากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขนาดยาในช่วง 5 สัปดาห์แรกของการรักษา
- เมื่อเริ่มใช้ยาแซคเซ็นดา ครั้งแรก ขนาดยาเริ่มต้นคือ 0.6 มิลลิกรัม วันละครั้ ง เป็นเวลาอย่างน้อย 1
สัปดาห์ - จะเพิ่มขนาดยาของครั้งละ 0.6 มิลลิกรัม ในแต่ละสัปดาห์ ไปจนกว่าจะถึงขนาดยาแนะนำคือ 3.0
มิลลิกรัม วันละครั้ง - แพทย์จะแจ้งให้ท่านทราบว่าท่านต้องฉีดยาแซคเซ็นดา ปริมาณเท่าใดในแต่ละสัปดาห์
- เมื่อได้รับยาถึงขนาดยาแนะนำแล้วคือ 3.0 มิลลิกรัม ในสัปดาห์ที่ 5 ของการรักษา และจะฉีดยาในปริมาณ 3.0 มิลลิกรัมขนาดนี้ ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุดช่วงการรักษา
- ห้ามเพิ่มขนาดยาเด็ดขาด โดยแพทย์ของจะประเมินผลการรักษาเป็นประจำ
ยาแซคเซ็นดาประกอบด้วยอะไรบ้าง
- สารออกฤทธิ์ คือ ลิรากลูไทด์ ในสารละลาย 1 มล. ประกอบด้วยลิรากลูไทด์ 6 มิลลิกรัม โดยปากกา 1 ด้ามจะประกอบด้วยลิรากลูไทด์ 18 มิลลิกรัม
- ส่วนประกอบอื่นๆ คือ ไดโซเดียมฟอสเฟตไดไฮเดรต โพรพิลีนไกลคอล ฟี นอล กรดไฮโดรคลอริก และ
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (สำหรับปรับค่าความเป็นกรดด่าง) และน้ำสำหรับยาฉีด