หนึ่งในปัญหาโลกแตกของผู้ชายทั่วโลกล้วนเผชิญเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องที่เปิดอกพูดคุยกันน้อยมาก ตั้งแต่ภาวะ นกเขาไม่ขัน นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ฯลฯ เพราะรู้สึกเขินหรืออายเกินกว่าจะพูดถึงหรือปรึกษาแพทย์ จนบางครั้งทำให้กลายเป็นปมในจิตใจไป ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันความรู้ทางการแพทย์พัฒนาไปจนสามารถตอบได้เกือบจะครบทุกข้อสงสัยของสุขภาพน้องชาย และสามารถหาวิธีการรักษาหรือบรรเทาได้เกือบทั้งหมด

บทความนี้จะเล่าเรื่องตั้งแต่ที่มาของสภาวะหย่อนสมรรถภาพไปจนถึงการรักษา รับรองว่าอ่านแล้วจะเห็นภาพรวมทั้งหมดเลยว่าน้องชายเราเป็นอย่างไร


ปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายมีอะไรบ้าง

ผมคิดดูแล้วน่าจะมี 3 ปัญหาหลักที่พบได้ในคนทั่วไปดังนี้

  1. นกเขาไม่ขัน (อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพียงพอ) อันนี้เรียกว่า Erectile Dysfunction หรือชื่อย่อว่า ED
  2. ภาวะล่มปากอ่าว หรือ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ (หลั่งเร็วเกิน) อันนี้เรียกว่า Premature Ejaculation
  3. ปัญหาการหลั่งช้า ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จ เรียกว่า Delayed Ejaculation

ซึ่งแต่ละอันก็จะมีรูปแบบความแตกต่างของมันเอง มาลองดูตัวอย่างของแต่ละแบบ

1. นกเขาไม่ขัน (อวัยวะเพศไม่แข็งตัว)

เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดของผู้ชายทั่วโลก โดยจะพบได้ประมาณ 40% ในผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (30% ในผู้ชายที่อายุ 30 ปีขึ้นไป และประมาณ 50% ในผู้ชายที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งปัญหามีตั้งแต่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวตลอดกิจกรรม หรือหนักที่สุด ไม่มีสามารถแข็งตัวเพียงพอจนเริ่มกิจกรรมได้เลย

2. นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ (อาการหลั่งเร็ว)

อาการหลั่งเร็ว หรือภาษาพูด คือ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ หรือเรือล่มปากอ่าว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ชายทุกช่วงอายุ เป็นภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการหลั่งให้นานพอที่อีกฝ่ายจะถึงจุดสุดยอดได้ ซึ่งโดยตามธรรมชาตินั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ฝ่ายชายสามารถถึงจุดสุดยอดได้ ในเวลาประมาณ 2-3 นาที ซึ่งถ้าหากเร็วกว่านี้จะเข้าข่ายเป็นภาวะหลั่งเร็ว

3. ปัญหาการหลั่งช้า

โดยปกติคนทั่วไป ผู้ชายจะสามารถหลั่งได้ภายใน 15 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลามาตรฐานสำหรับผู้หญิงที่จะมีกิจกรรมด้วย ถ้าหากนานกว่านี้เช่น 30 นาทีก็ถือว่าเป็นปัญหาเช่นกัน

จริงๆแล้ว อาจจะมีปัญหาอื่นๆอีกร่วมด้วย รู้สึกไม่มีอารมณ์ทางเพศ หรือ อวัยวะเพศโค้งงอผิดรูป ซึ่งผมจะไม่ไดกล่าวถึงในบทความนี้


สาเหตุของการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกิดจากอะไร?

การเร้าอารมณ์ทางเพศชาย เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับ สมอง ฮอร์โมน อารมณ์ เส้นประสาท กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด การหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจเกิดจากปัญหาเหล่านี้ ในทำนองเดียวกัน ความเครียดและความกังวลเรื่องสุขภาพจิตสามารถทำให้เกิดหรือทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศแย่ลงได้เช่นกัน ซึ่งสามารถแบ่งตามสาเหตุต่างๆได้ดังนี้

  1. สาเหตุทางกายภาพ ได้แก่ โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน (หลอดเลือด) คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคพาร์กินสัน การสูบบุหรี่ โรค Peyronie’s disease — เป็นโรคที่เกิดพังผืดภายในองคชาต โรคพิษสุราเรื้อรังและการใช้สารเสพติดในรูปแบบอื่นๆ ความผิดปกติของการนอนหลับ การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากหรือต่อมลูกหมากโต การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือไขสันหลัง ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ
  2. สาเหตุทางจิตใจ เช่น ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือภาวะสุขภาพจิตอื่นๆ ความเครียด หรืออาจมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคู่ อันเนื่องมาจากความเครียด การสื่อสารที่ไม่ดี ความกังวล เป็นต้น

มาเช็คกันว่าเรามีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของน้องชายกันไหม

เดี๋ยวจากนี้ผมจะมาขอเล่าเรื่องที่อาจจะหาคนเล่าให้ฟังอยากกันสักนิดนึงนะครับ เราจะเล่ากันแบบวิทยาศาสตร์ถึงที่มาที่ไปของการแข็งตัว เพื่อความเข้าใจรากเหง้าของปัญหาทั้งมวล


วิทยาศาสตร์ของการแข็งตัว (ของอวัยวะเพศชาย)

ภาพแสดงโครงสร้างทางกายวิภาคของอวัยวะเพศชาย เมื่ออ่อนตัว (flaccid) และ แข็งตัว (erected)
Tunica Albuginea

ทำความรู้จักโครงสร้างของน้องชาย

รูปร่างหน้าตาของอวัยวะเพศชายจะเป็นทรงกระบอก ถ้าดูตามภาพหน้าตัดจะเหมือนหน้าคน ที่มีดวงตา 2 ดวง และ ปากกลมๆ 1 ปาก

  • ดวงตา 2 ดวง มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ เรียกว่า Corpus Cavernosum เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว เพราะภายในฟองน้ำภายในประกอบไปด้วย เส้นเลือดแดง (deep artery) จำนวนมาก ซึ่งถ้าหากมีสิ่งเร้าใดๆ มากระตุ้น เส้นเลือดแดงจะขยายตัวและเลือดจะคั่งในบริเวณนี้ และผลของการคั่งนี่เองที่ทำให้อวัยวะเพศขยายตัวและเข็งตัว
  • โดยฟองน้ำคู่นี้จะมีเยื่อคอลลาเจนห่อหุ้มอยู่ ซึ่งเจ้าเยื่ออันนี้จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้อวัยวะเพศเราไม่แข็งตัวเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยเจ้าเยื่อนี้มีชื่อว่า Tunica Albuginea ในภาพที่สองจะเป็นเยื่อขาวๆ โดยตรงขอบของเยื่อนี้จะมี เส้นเลือดดำ (vein) ที่จะเป็นตัวนำพาเลือดที่คั่งกลับออกไป เป็นผลให้อวัยวะเพศอ่อนตัว
  • ส่วนปากด้านล่างเป็นส่วนที่เรียกว่า Corpus Spongiosum ซึ่งตรงกลางจะมีท่อปัสสาวะ ก็เลยมีหน้าที่ในการควบคุมการหดและขยายของ ท่อปัสสาวะ (urethra) ระหว่างที่มีการนำของเหลว ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะหรือน้ำอสุจิให้ไหลออกร่างกาย

อวัยวะเพศขายตอนแข็งตัว (erected state)

เส้นเลือดแดงจะขยาย (vasodilatation) ทำให้เลือดหลั่งไหลเข้ามาในดวงตาทั้งสองข้าง (corpus cavernosum) ทำให้ฟองน้ำอันนี้ค่อยๆขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เยื่อขาว Tunica Albuginea มีแรงกดดันเส้นเลือดดำในตีบลง เป็นผลให้เลือดนั้นคั่งอยู่ในฟองน้ำ ไม่สามารถไปไหนได้ กลายเป็นการแข็งตัวอย่างที่เราเห็น ยิ่งเลือดคั่งเยอะก็ยิ่งแข็งเยอะนั่นเอง

อวัยวะเพศชายตอนอ่อนตัว (flaccid state)

เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ร่างกายจะส่งสัญญาณให้ เส้นเลือดบีบตัว (vasoconstriction) เป็นผลให้เลือดหยุดการหลั่งเข้ามาในฟองน้ำ พร้อมกับบอกให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณเยื่อขาวนั้นแข็งตัวขึ้น ทำให้เส้นเลือดดำที่ถูกกดอยู่มาตลอดเริ่มคลายตัวออก เลือดที่คั่งอยู่ในฟองน้ำจึงถูกซับออกจากฟองน้ำเข้าสู่เส้นเลือดดำอย่างรวดเร็ว แล้วอวัยวะเพศก็จะคลายตัวลง เป็นอันจบรอบ

เมื่อเราทราบที่มาที่ไปของการแข็งตัวแล้ว เราก็จะพอเริ่มเห็นแล้วว่า ปัญหาของการที่น้องชายแข็งตัวไม่เต็มที่นั้นเกิดได้ที่ไหนเป็นสาเหตุหลัก ที่แน่ๆก็คือ เส้นเลือดแดงที่ส่งเลือดมายังฟองน้ำนั่นเองซึ่งมีการส่งเลือดมาไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการคั่งของเลือดในฟองน้ำได้

เส้นเลือดแดงตรงบริเวณน้องชายมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 มม. ถือว่าเล็กมาก (เทียบกับเส้นเลือดหัวใจที่ประมาณ 5 มม. ดังนั้นไม่แปลกใจว่า ถ้าเรามีไขมันพอกในเส้นเลือดทั่วร่างกาย เส้นเลือดตรงน้องชายจะได้รับผลกระทบก่อนเสมอเนื่องจากความเล็กของมันนั่นเอง)

หลังจากนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ “เส้นเลือดแดงของน้องชาย หัวใจสำคัญของการแข็งตัว” กัน


ทำความรู้จักกับเส้นเลือดแดง หลอดเลือดสำคัญของน้องชาย

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า ด้วยขนาดที่เล็กมากของเส้นเลือด ทำให้เป็นหนึ่งในเส้นเลือดที่จะได้ผลกระทบเส้นแรกๆเวลาเรามีปัญหาทางเส้นเลือดที่มีไขมันพอก ในคนที่มีปัญหาของโรคหัวใจและหลอดเลือด พูดให้เห็นภาพ ถ้าเรามีไขมันพอกในเส้นเลือดเพียงเล็กน้อย เราแทบจะไม่มีอาการทางหัวใจเลย แต่อาการน้องชายแข็งตัวไม่เต็มที่นั้นมาก่อนใครเพื่อนนั่นเองครับ

เส้นเลือดแดงของน้องชายจะขยายตัวเพื่อให้เลือดหลั่งไหลเข้ามาคลั่งภายในฟองน้ำได้ ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด เราไม่สามารถคุมให้เส้นเลือดนี้ขยายตัวหรือหดได้ตามใจ โดยทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยปฎิกิริยาของร่างกายจากไขสันหลังและสมองของเราผ่านทางสารสื่อประสาทและฮอร์โมนต่างๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเวลาตื่นเต้นมันกลับหดตัว แต่เวลาผ่อนคลายมันกลับแข็งซะงั้น ทุกอย่างมีที่มาที่ไป

อยากให้จินตนาการภาพของเส้นเลือดแดงตามรูปด้านล่าง เราจะเห็นว่ามันเป็นท่อกลวงๆ ที่ผิวของท่อจะมีเซลล์พิเศษปูทับไว้ด้านในและด้านนอก

  • เซลล์ที่ปูทับด้านในจะเรียกว่า Endothelial cell มีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เลือดที่คั่งอยู่ในท่อจับตัวกันเป็นก้อน (เวลาเลือดมันอยู่กันนิ่งๆมันจะจับตัวเป็นก้อน คิดภาพแผลของเราที่เลือดไหล) เพราะถ้าเลือดจับตัวกันเป็นก้อนภายในน้องชาย มันคงดูไม่จืดและคงแข็งไปแบบไม่มีวันคลายตัว
  • เซลล์ที่ปูทับด้านนอก จะเป็นกล้ามเนื้อ (Smooth muscle) ที่จะหดตัวและขยายตัว เพื่อให้เลือดคั่งไม่คั่งนั่นเอง ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ถ้าคลายตัวเลือดจะคั่ง ถ้าหดตัวเลือดจะเข้ามาไม่ได้ ซึ่งเซลล์กล้ามเนื้อนี้เป็นจุดสำคัญมากๆของยาหลายชนิดเช่น Viagra, Cialis

นั่นแปลว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เส้นเลือดแดงตรงน้องชายคลายตัวได้ ก็เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาแรกๆนั่นเอง ซึ่งเป็นที่มายาที่ทำให้เส้นเลือดตรงนี้คลายตัวนั่นก็คือ Viagra, Cialis นั่นเองครับ

โดยสารเคมีที่สำคัญที่สุดของการทำให้น้องชายคลายตัวได้ก็คือ Nitric Oxide นั่นเอง โดยในธรรมชาติร่างกายจะหลั่ง Nitric Oxide และหยุดกันเป็นรอบๆ แต่เมื่อเราทานยาอย่าง Viagra เข้าไป จะเป็นผลให้ Nitric Oxide คั่งในเส้นเลือดตรงน้องชายนานขึ้น เป็นผลให้เส้นเลือดขยายตัวนานขึ้น และสุดท้ายอวัยวะเพศก็แข็งตัวได้นานขึ้นหรือมากขึ้นนั่นเอง


ระบบประสาทของสมองกับการแข็งตัวของน้องชาย

ร่างกายมนุษย์จะมีระบบประสาทที่เราควบคุมได้ เช่น กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆทั้งหลาย เช่นการเดิน การนั่ง ฯลฯ และระบบที่เราควบคุมไม่ได้ (autonomous nervous system) เช่น การทำงานของหัวใจ การทำงานของปอด เป็นต้น โดยระบบที่เราควบคุมไม่ได้ จะแบ่งเป็น 2 ระบบย่อย ดังนี้

ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic)

หรือที่เราได้ยินคำพูดที่ว่า “เวลาไฟไหม้ แล้วสามารถยกตู้เย็นออกจากบ้านได้ด้วยตัวคนเดียว” ใช่ครับ มันคือระบบที่ร่างกายออกแบบให้สู้กับความเครียด ร่างกายจะหลั่งอะดรีนนาลีน (Adrenaline) ออกมามากๆในเวลาสั้นๆ ร่างกายจะตื่นตัวขั้นสูงสุด ร่างกายจะเอาเลือดทั้งหมดส่งไปให้อวัยวะสำคัญคือ สมอง หัวใจ ปอด และ กล้ามเนื้อ เพื่อใช้การเอาตัวรอด

ถ้าเทียบกับคนสมัยก่อนก็คือ เวลาโดนสัตว์มาล่านั่นเอง เราต้องตื่นตัวเพื่อสู้ แต่ข้อเสียของระบบนี้คือ อวัยวะที่ไม่สำคัญจะถูกละเลยไป และหนึ่งในอวัยวะที่ไม่สำคัญก็คือ น้องชายนั่นเอง จึงเป็นเหตุผลให้ทุกครั้งที่เครียดหรือตื่นเต้น น้องชายเราจะเหมือนหมดสภาพไปดื้อๆ

ความเครียดทำให้หลั่งอะดรีนาลีน และอะดรีนาลีนทำให้น้องชายอ่อนตัว

ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic)

ทุกอย่างที่อยู่ตรงกันข้ามกับซิมพาเทติกนั่นเอง ความผ่อนคลายจะทำให้เลือดไปทุกส่วนของร่างกายรวมถึงน้องชาย (องคชาติ) ของเรา เป็นเหตุผลว่าทำไม เวลาผู้ชายไปสปา บางคนถึงไม่สามารถควบคุมอวัยวะส่วนนั้นของตนเองได้นั่นเอง ซึ่งซึ่งกระตุ้นระบบพาราซิมพาเทติก คือ ประสาททั้ง 5 ของเรานั่นเอง หรือแม้แต่ความฝันในตอนกลางคืน

บรรยากาศที่ผ่อนคลาย จะทำให้เลือดไหวเวียดมาน้องชายดีขึ้น และการแข็งตัวจะดีขึ้น และเป็นเหตุผลว่าทำไม foreplay ถึงช่วยได้มากในคนที่มีปัญหาของการแข็งตัวของน้องชาย

ที่ผมเล่ามาถึงจุดนี้จะเป็นเฉพาะเรื่องของของ “การแข็งตัว” เท่านั้น ต่อจากนี้ไปผมจะพูดถึง “การหลั่ง” ซึ่งเป็นอีกจุดสำคัญ


Erectile Dysfunction (ภาวะน้องชายไม่แข็งตัว)

ตรวจเช็คความแข็งแรงของน้องชายคุณเอง

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction : ED) หรือ นกเขาไม่ขัน หรือ น้องชายไม่แข็งตัว หมายถึง การที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือแข็งได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเป็นที่พึงพอใจอยู่เป็นประจำ หรืออย่างต่อเนื่อง โดยจะพบได้ประมาณ 40% ในผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (30% ในผู้ชายที่อายุ 30 ปีขึ้นไป และประมาณ 50% ในผู้ชายที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยแบ่งระดับความรุนแรงของโรคได้ดังนี้

  • หย่อนสมรรถภาพอย่างอ่อน : ผู้ป่วยสามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวพอดี สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้เกือบทุกครั้ง
  • หย่อนสมรรถภาพปานกลาง : ผู้ป่วยสามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวดี สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้บ้างเป็นบางครั้ง
  • หย่อนสมรรถภาพโดยสิ้นเชิง : ผู้ป่วยไม่สามารถมีอวัยวะเพศแข็งตัวดีพอ สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ได้เลย

ย้ำอีกครั้ง การที่น้องชายไม่แข็งตัว หรือ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ นั้นหลักๆเกิดจากการที่เส้นเลือดบริเวณน้องชายนั้นทำงานได้ไม่ปกติ แต่เรายังมีความรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมอยู่ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การไร้สมรรถภาพแต่อย่างใด ซึ่งภาวะการไม่แข็งตัวจะน้อยหรือมาก ปัจจุบันสามารถรักษาได้ซึ่งจะพูดถึงต่อไป

ถ้าหากท่านมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใด จาก 5 ข้อด้านล่างนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา 1 เดือนอยู่บ่อยครั้ง ถือว่ามีโอกาสที่จะถูกจัดในสภาวะหย่อนสมรรถภาพได้

  • อวัยวะเพศของท่านสามารถแข็งตัวได้ บ่อยครั้ง เพียงใด
  • เมื่อท่านได้รับการเร้าทางเพศแล้ว อวัยวะเพศแข็งตัวขึ้น บ่อยแค่ไหนที่อวัยวะเพศจะสอดเข้าข้างในช่องคลอดได้
  • เมื่อท่านพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยแค่ไหน ที่ท่านสามารถ สอดเข้าไปในช่องคลอดได้

วิทยาศาสตร์ของการหลั่ง (Ejaculation)

ถือว่าเป็นหัวข้อที่อาจจะเขียนได้ค่อนข้างยาก เพราะเนื้อหาอาจจะหมิ่นเหม่สักเล็กน้อย แต่ผมจะทำให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่ายให้มากที่สุด คนที่ผ่านมาอ่านจะได้พอมองเห็นภาพว่าคำว่าการหลั่งมันคืออะไร โดยมีสิ่งที่ท่านน่าจะต้องทำความเข้าใจ (อีกครั้ง) หลักๆ 3 อย่าง คือ

  1. ตัวกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง
  2. ตัวของไข่ (อัณฑะ) และท่อต่างๆที่เกี่ยวกับกระบวนการหลั่ง
  3. ฮอร์โมนที่เป็นตัวควบคุมการทำงานของต่อมต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งในคนแต่ละคนจะมีสาเหตุที่ไม่เหมือน ซึ่งหมอจะรู้จากการซักประวัติและตรวจเลือดเป็นต้น โดยทั้ง 2 สาเหตุนี้คือ ต้นเหตุของภาวะนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ และภาวะหลั่งช้า ไม่เกี่ยวอะไรกับการแข็งตัวแล้ว โดยผมจะขอเริ่มต้นจากข้อ 1 ถึง 3 ไปตามลำดับ

โดยกล้ามเนื้อ และ ไข่ (อัณฑะ) จะขอพูดในหัวข้อที่ต่อเนื่องกันดังนี้

ทำความรู้จักกับโครงสร้างของไข่สองฟอง (อัณฑะ, Testis)

รูปร่างหน้าตาภายในของอัณฑะ

อัณฑะ (testis) หรือที่เราเรียกชื่อเล่นกันว่า “ไข่” อัณฑะเป็นอวัยวะเพศของผู้ชาย อยู่ใน ถุงอัณฑะ (scrotum) มีอยู่ 2 ข้างซ้ายและขวา เนื่องจากอัณฑะเป็นอวัยวะที่อยู่นอกร่างกายทำให้อุณหภูมิของอัณฑะต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายประมาณ 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ทำให้ตัวอสุจิ (เซลล์สืบพันธุ์เพศชายอยู่อย่างสบาย)

โดยอัณฑะ เกิดมามีหน้าที่สำคัญมากอยู่ 2 อย่างคือ

  1. ทำหน้าที่ในการผลิตสร้างตัว อสุจิ (sperm)
  2. ผลิตฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญได้แก่ เทสโทสเตอโรน (testosterone)

ซึ่งปัญหาในผู้ชายที่มีบุตรยากบางคน อาจจะมีปัญหาจากการที่สร้างตัวอสุจิมีปัญหา หรือมีจำนวนไม่พอ หรืออะไรก็ว่า หรือในคนที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศ หรือมีการผลิตที่ไม่ปกติ ก็อาจจะมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ทำงานผิดปกติก็ได้ครับ

การสร้างอสุจิ (sperm)

กลับมาที่รูปร่างหน้าตาภายในอัณฑะกันต่อ ตัวอสุจิจะถูกสร้างภายใน lobule ต่างๆที่อยู่ด้านใน ที่เรียกว่า seminiferous tubule ซึ่งจะถูกกระตุ้นด้วยเทสโทสเตอโรน เมื่ออสุจที่ถูกสร้างอย่างสมบูรณ์แล้วจะถูกส่งนำไปพักไว้ที่ ท่อพักน้ำเชื้อ (epididymis) จากในภาพคือท่อที่มีหน้าตาคดเคี้ยวเหมือนตัวหนอน

โดยตัวอสุจิจากตัวอ่อนที่เข้ามาอยู่ในท่อพักนี้ (epididymis) จะค่อยๆเคลื่อนที่ไปท่อพักเป็นระยะเวลาประมาณ 12 วัน ในเส้นทางที่ขดไปขา จนในที่สุดตัวอสุจิจะเดินทางมาถึงปลายทางพอดี (tail of epididymis) และตัวเต็มวัยนี้จะเดินทางเข้าสู่ ท่อนำอสุจิ มีชื่อเรียกว่า Vas deferens ในเวลาปกติที่ไม่มีการหลั่งตัวอสุจิ (sperm) ก็จะมาพักคอยอยู่กันที่บริเวณ และเมื่อมีการกระตุ้นจนถึงการหลั่งก็จะเข้าสู่เฟสถัดไป

ผมขอพักตรงนี้ไว้ก่อน จะเห็นว่ามีฮอรโมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เข้ามาเกี่ยวข้องแบบเต็มๆ และอะไรก็ตามที่ทำฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง (Testosterone Deficiency) ย่อมทำให้การสร้างอสุจิมีปัญหาและนำไปสู่ปัญหาทางเพศต่อไป

ระบวนการสร้างและการเคลื่อนที่ของอสุจิ

การเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ

เมื่อมีสิ่งเร้าและการกระตุ้นที่เพียง การหลั่ง (ejaculation) จะเกิดขึ้น โดยตัวอสุจิจะเคลื่อนที่ไปตามท่อนำอสุจิ (Vas deferens) และจะไปรวมกับของเหลวจาก ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal Vesicle) ที่ทำหน้าที่สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ เช่น น้ำตาลฟรักโทส วิตามินซี โปรตีนโกลบูลิน เป็นต้น โดยของเหลวจากต่อมสร้างน้ำเลี้ยงนี้คิดเป็นประมาณ 60% ของสิ่งที่หลั่งออกมาของผู้ชาย

หลังจากอสุจิได้รวมกับของเหลวจากต่อมสร้างน้ำเลี้ยงแล้ว ท่อนำส่งนี้จะมาพบกับ ต่อมลูกหมาก (prostate grand) โดยต่อมลูกสร้างสารที่จำเป็นต่อการมีชีวิตของตัวอสุจิ ทำหน้าที่หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ เข้าไปในท่อปัสสาวะ เพื่อทำลายฤทธิ์กรดในท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ โดยของเหลวจากต่อมลูกหมากนี้คิดเป็นประมาณ 20 – 30 % ของสิ่งที่หลั่งออกมาของผู้ชาย

จากจุดนี้นี้เองที่ ท่อนำอสุจิ จะมาพบกับท่อปัสสาวะแล้ว และจะรวมกันเป็นท่อเดียวไปจนถึงสุดปลายท่อปัสสาวะ (ปลายองคชาติ) นั่นเอง และตรงบริเวณจุดรวมนี้จะมีกล้ามเนื้อที่สำคัญ 2 มัดที่เป็นแรงส่งในเวลาของการหลั่ง เพราะอสุจิไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เองภายในท่อปัสสาวะ และเมื่อมีการหลั่งร่างกายจะทำการปิดรูการย้อนกลับไปยังกระเพาะปัสสาวะ (ไม่เช่นนั้นอสุจิวิ่งย้อนทางกลับไปยังกระเพาะฉี่คงดูไม่จืด)

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง

Ischiocavernosus muscles in Red

กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง จะเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้จิตใจของเรา กล้ามเนื้อมัดนี้มีชื่อว่า Ischiocavernosus และ bulbocavernosus โดยกล้ามเนื้อมัดนี้จะอยู่ตำแหน่งตามในรูปตรงโคนของน้องชายและใกล้ๆกับรูก้น ทำไมถึงเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมได้ ลองทำกิจกรรมตามนี้ดูครับ ก็คือ การอั้นปัสสาวะ และการขมิบก้น นั่นเอง

กล้ามเนื้อสองมัดสำคัญนี้ จะเป็นตัวที่บีบรัดในช่วงของจังหวะสุดท้ายของการมีกิจกรรมร่วมกัน โดยคุณผู้ชายจะสัมผัสได้ดี ในช่วงของจุดสุดยอด (orgasm) ที่เราจะสัมผัสได้ถึงการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยก่อนที่จะถึงจุดนั้นเราจะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อมัดนี้ได้ แต่ถ้าผ่านจุดที่เรียกว่า point of no return ไปแล้ว เราจะไม่สามารถหยุดกล้ามเนื้อมัดนี้จากการหดตัวได้อีกแล้ว

Point of no Return ของคนที่มีปัญหา Premature Ejaculation

จากภาพนี้จะเห็นว่า ตรงแกนซ้ายจะเป็นระดับการกระตุ้นอารมณ์ (arousal level) ซึ่งเลข 8 จะมีเส้นสีฟ้าเข้มคาดเป็นเส้นตรงไว้อยู่ กิจกรรมทุกอย่างที่เกิดก่อนจะมาถึงระดับการกระตุ้นที่ 8 เราจะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อสองมัดที่คุยกันก่อนหน้านี้ได้ แต่ถ้าเกินเลข 8 มาแล้ว แปลว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ เลยที่เป็นที่มาของการฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อมัดนี้ให้ได้ดีที่สุด

โดยปกติแล้วระยะเวลาจากระดับ 0 ไปจนถึงระดับ 8 ในผู้ชายปกติจะกินเวลา 2-3 นาทีโดยทั่วไป ในคนที่ฝึกมาดีอาจจะนานกว่านี้ได้มาก แต่ในผู้ที่มีภาวะนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ หรือ ล่มปากอ่าว เวลาจะน้อยกว่า 2 นาที หรือน้อยกว่านี้

แปลว่า เราต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ไปถึงจุด point of no return ให้ได้เท่ากับคนปกติ

point of no return ในคนปกติ

จากภาพนี้ จะเป็นระยะ point of no return ในคนทั่วไป จะเห็นว่า เราสามารถควบคุมกล้ามเนื้อและระดับอารมณ์ให้อยู่ที่ระดับ 7 – 7.5 ไว้ได้ ก่อนที่จะถึง 8 อันเป็นจุดที่กลับตัวไม่ได้แล้ว โดยการควบคุมให้อยู่ในระยะนี้จะเรียกว่า Plateau Step นั่นเอง

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ก็อาจจะบอกได้ว่า ปัญหาการหลั่งเร็ว เป็นปัญหาของการควบคุมการหลั่งเป็นหลัก ซึ่งเราสามารถควบคุมมันได้ผ่านการฝึกฝนกล้ามเนื้อ ischiocavernosus และ bulbocavernosus นั่นเอง โดยการฝึกที่เรียกว่า Kegel exercise หรือการทำให้อวัยวะเพศชายได้รับความรู้สึกของการกระตุ้นที่ช้าลง ผ่านการใช้ยาลดการรับความรู้สึกในรูปแบบต่างๆเช่น Lidocaine spray หรือชนิดของถุงยางอนามัยที่มีการเคลือบสารลดการรับความรู้สึก เป็นต้น

ภาวะการหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation) เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ผ่านการฝึกฝนกล้ามเนื้อเชิงกรานและการใช้ยาลดความรู้สึก ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวแต่อย่างใด


ภาวะการหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation)

อย่างที่ได้กล่าวมา จะเห็นภาวะ ภาวะการไม่แข็งตัวของน้องชาย กับ ภาวะหลั่งเร็ว นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ดังจะสรุปได้ตามรูปด้านล่าง และสาเหตุการเกิดและการรักษาก็ต่างกันด้วยเช่นกัน

โดยจะสรุปได้ 4 ประเด็นดังนี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน

ภาวะหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation)ภาวะน้องชายไม่แข็งตัว (Erectile Dysfunction)
สาเหตุน้องชายไวต่อความรู้สึก กล้ามเนื้อเชิงกรานถูกกระตุ้นเร็ซไปเส้นเลือดแดงที่มาส่งเลือดให้น้องชายทำงานไม่ดี
การแข็งตัวไม่มีปัญหาในการแข็งตัวไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือแข็งตัวได้แต่พอที่จะทำให้กิจกรรมเสร็จตามความพอใจ
การคงสภาพของการแข็งตัวไม่มีปัญหาในการคงสภาพ สามารถแข็งตัวจนถึงการหลั่งได้น้องชายอ่อนตัวก่อนที่จะถึงจุดสุดยอด ไม่สามารถจบกิจกรรมได้ดั่งใจ
การหลั่งการหลั่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาน้อยกว่า 2 นาทีในผู้ที่ไม่สามารถแข็งตัวได้เลย อาจจะบอกได้ยากว่ามีปัญหาการหลั่งหรือไม่ แต่ในคนที่มีปัญหาเล็กน้อยไม่พบว่ามีภาวะการหลั่งเร็ว
อายุที่พบพบได้ในทุกช่วงอายุพบได้ในคนที่อายุมากขึ้น อายุยิ่งเยอะยิ่งพบมากขึ้น และพบในผู้ที่มีปัญหาด้านเส้นเลือด
เทียบความแตกต่างระหว่างสองภาวะที่พบได้บ่อย

เอาละครับ ต่อไปเราจะไปดูกันที่ประเด็นต่อไปคือ อะไรที่เป็นตัวควบคุมให้ร่างกายมีการหลั่ง และสิ่งนั้นก็คือ ฮอร์โมน (Hormone) นั่นเอง


ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง

อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วในช่วงของการสร้างตัวอสุจิ ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ถือว่าเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมาก และถ้าฮอร์โมนนี้ทำงานผิดปกติ หรือมีปริมาณที่น้อยไป ความรู้สึกทางเพศและปริมาณของตัวอสุจิ หรือประสิทธิภาพความแข็งแรงของตัวอสุจิก็จะมีปัญหาต่อมาเช่นกัน


Erection VS Ejaculation การแข็งตัวกับการหลั่งเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่

คำตอบคือ “ไม่เกี่ยวกันครับ” เพราะ

การหลั่ง (Ejaculation) ไม่จำเป็นต้องมีการแข็งตัว (Erection) ก็ได้ เราสามารถที่จะหลั่งโดยที่อวัยวะเพศไม่จำเป็นต้องแข็งตัว เพียงแต่มันเกิดขึ้นไม่บ่อยและเราอาจจะไม่ได้สังเกตเห็น

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการหลั่งโดยที่ไม่แข็ง คือ “การฝันเปียก” (Wet dream) ของผู้ชาย ที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัวในตอนกลางคืนโดยที่อวัยวะเพศอาจจะแข็งหรือไม่แข็งตัว

อีกตัวอย่างก็คือ การเก็บน้ำเชื้อในผู้ชายที่มีปัญหาอวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้จากปัญหาของไขสันหลัง ทางทีมแพทย์จะใช้อุปกรณ์พิเศษไปสั่นที่บริเวณองคชาติ จะสามารถทำให้น้ำเชื้อและตัวอสุจิสามารถหลั่งออกมาได้ และสามารถนำไปผสมเทียมได้ในขั้นตอนถัดไป

ถึงตรงนี้เราก็จะพอมองเห็นภาพแล้ว 2 กระบวนการนี้ แยกกัน

การแข็งตัวของน้องชาย (Erection) เป็นเรื่องของ “เส้นเลือด” ที่จะขยายตัวหรือหดตัวเพื่อ “ทำให้เกิดการคั่งของเลือดภายในบริเวณลำของน้องชาย” และเมื่อเราเอายาวิเศษของอย่าง Viagra ที่ช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวทำให้การแข็งตัวเกิดขึ้น แทบจะไม่ชวยอะไรเลยในคนที่มีปัญหาเรื่องการหลั่ง เนื่องจากไม่ได้มีผลใดๆกับการสร้างอสุจิหรือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบีบในช่วงจุดสุดยอด


เมื่อใดควรไปพบแพทย์?

เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้ ท่านควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่

  1. คุณมีความกังวลเกี่ยวกับ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile Dysfunction) หรือคุณกำลังประสบปัญหาทางเพศอื่นๆ เช่น การหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation) หรือ หลั่งล่าช้า (Delayed Ejaculation)
  2. คุณเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่อาจเชื่อมโยงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  3. คุณมีอาการอื่นควบคู่ไปกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัว (Erectile Dysfunction Treatment)

การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัวเพียงพอ ทำได้หลายวิธีดังนี้

ยาชนิดรับประทาน

ซึ่งยาทุกตัวจะมีผลกับ Nitric Oxide ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้เลือดคั่งอยู่ในอวัยวะเพศได้นานขึ้นและทำให้น้องชายแข็งตัวได้นานขึ้นนั่นเอง โดยยาปัจจุบันที่ใช้กันจะมี 4 ชนิด คือ Sildenafil, Tadalafil, Vardenafil, Avanafil โดยแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไปในเรื่องของระยะเวลาการออกฤทธิ์ต่างๆ

ยากลุ่มนี้ทั้งหมด เมื่อทานไปแล้วไม่ได้ทำให้น้องชายแข็งตัวทันที เราจะต้องมีสิ่งที่เข้ามากระตุ้นก่อนเสมอเหมือนเวลามีอารมณ์โดยทั่วไป ต้องมีสัญญาณจากสมองส่งมาที่กล้ามเนื้อของเส้นเลือดแดงภายในน้องชายให้หลั่ง Nitric Oxide ออกมา เมื่อนั้นยาจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ครับ แปลว่า ถ้าเราไม่มีอารมณ์ยังไงก็ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง แต่ถ้าเรามีอารมณ์แต่ดันปลุกไม่ตื่น ยาตัวนี้จึงช่วย

การจะทานยาตัวนี้ ต้องระมัดระวังอย่างมาก ในคนที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำเป็นทุนเดิม คนที่มีโรคหัวใจ และคนที่ทานกลุ่มของ Nitrate เพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอกทุกคน และเราไม่ควรซื้อทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

ยาชนิดฉีด

จะเป็นการฉีดยาเข้าไปในบริเวณฟองน้ำ (corpus cavernosum) ของน้องชาย ยาที่ใช้ก็จะเป็นกลุ่มของยาขยายหลอดเลือดบริเวณน้องชายทำให้เลือดมาคั่งบริเวณนี้มากขึ้น เช่น ยา Alprostadil

การผ่าตัดเพื่อแก้ไข

สามารถใส่แกนองคชาติเทียม (Penile implant) หรือการใช้เครื่องสุญญากาศได้ (Vacuum device)

การใช้เครื่อง Shockwave

การใช้เครื่อง Low-Intensity Shock Wave Therapy หรือ การรักษาด้วยคลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำแบบแรงกระแทกจากภายนอก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) ทำให้การฟื้นฟู ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นจากการกระตุ้นหลอดเลือดที่มีอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นแนวทางการรักษาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องทานและไม่ต้องฉีดยาใดๆ

ในส่วนถัดจากนี้ผมจะเน้นที่รายละเอียดการใช้เครื่อง Shockwave สำหรับการรักษาภาวะ ED เป็นหลัก


การใช้เครื่อง Shockwave (คลื่นกระแทก) สำหรับการรักษาภาวะ ED

  • ED เป็นโรคที่ผู้ชายทุกคนจะอายและไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ ปัจจุบันนี้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวไกลโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะ เครื่อง Richard Wolf PiezoWave2 จากประเทศ Germany สามารถสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระบบ Smart Focus Energy นวัตกรรมใหม่นี้จะช่วยควบคุมระดับพลังงานและความเข้มของคลื่นให้ตรงลึกไปยังเนื้อเยื่อที่เป็นเป้าหมายทั้งองคชาตกระตุ้นหลอดเลือดภายในให้ขยายตัวเปลี่ยนจากสภาพมะเขือเผาให้กลับมาแข็งได้ตามใจปรารถนาอีกครั้ง
  • ในการนำ Shock wave มาใช้ในการรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศก็เช่นเดียวกัน Low-Intensity Shock wave Therapy คือ เป็นการปล่อยคลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำ (shock wave) แบบแรงกระแทกจากภายนอก ไปยังลำของอวัยวะเพศ (Shaft) ตามจุดที่กำหนดไว้ เพื่อกระตุ้นให้บริเวณดังกล่าว สร้างเส้นเลือดขึ้นใหม่ (angiogenesis) ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศมากขึ้น ส่งผลให้มีการแข็งตัวที่ดีขึ้น
  • ระยะเวลาในการทำต่อครั้งประมาณ 15-20 นาที/สัปดาห์ โดยทำ 5 -10 ครั้ง หรือ สัปดาห์ละครั้ง นาน 5-10 สัปดาห์ สามารถทำให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis) และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นจากการกระตุ้นหลอดเลือดที่มีอยู่แล้ว

ขั้นตอนการทำ Shockwave

  • เริ่มจากการกระตุ้นบริเวณต่างๆของอวัยวะเพศเพื่อให้ครอบคลุมบริเวณที่เรียกว่า “corpus cavernosum” ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อภายในอวัยวะเพศ การทำ Shockwave สามารถใช้ได้จำนวนสูงสุด 5,000 shots กระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศ 5 ตำแหน่งเพื่อครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณของอวัยวะเพศและกล้ามเนื้อรอบๆที่เกี่ยวข้อง
  • คนไข้ที่ได้รับการรักษาไปแล้วให้คะแนนความพึงพอใจหลังการรักษาเพิ่มขึ้นถึง 7 points ตามหลักการของ IIEF (International Index of Erectile Function)
  • นอกจากนั้นการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นยังสามารถวัดได้จากผลการวิเคราะห์ต่างๆและคนไข้ส่วนใหญ่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติหลังได้รับการรักษา 5 ครั้ง และผลการรักษาดังกล่าวอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ โดยอาจแตกต่างกันได้ในคนไข้แต่ละราย

ต้องรับการรักษาบ่อยแค่ไหน

  • ในการรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยวิธี Low-Intensity Shock wave Therapy จะใช้เวลาในการรักษา ประมาณครั้งละ 30 นาที โดยทำวันเว้นวัน หรือ อาจเป็นวันเว้น 2วัน แต่ไม่แนะนำให้รับการรักษาติดต่อกันทุกวัน หรือห่างเกิน 2 วัน รวมจำนวน 5 -7 ครั้ง แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์
  • ในระหว่างรับการักษาไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ หรือ ให้ยาแก้ปวดแต่อย่างใด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล รวมทั้งสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้หลังการรักษาภายในวันเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดกิจกรรมแต่อย่างใด

การรักษาโดยใช้เครื่องมือ Shockwave เป็นวิธีที่ง่ายเนื่องจากคนไข้จะไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกเขินอายและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากสามารถช่วยให้คนไข้มีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นและได้ผลในระยะยาวและที่สำคัญที่สุดคือช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสุขในการใช้ชีวิต