Medicine 3.0 คืออะไร

เรื่องที่ผมอยากจะให้ทุกท่านเข้าใจตั้งแต่วินาที
มันอาจจะทำให้เราเปลี่ยนมุมมองของร่างกายเราทันที
เพราะสิ่งที่เราทำอยู่ และคิดว่าดี มันอาจจะไม่ดีจริงๆก็ได้

ในกราฟนี้ผมนำมาหนังสือที่ชื่อว่า Outlive ของ Dr.Peter Attia ที่พูดถึงเรื่อง Medicine 3.0 (การแพทย์จากปัจจุบันสู่อนาคต) กับ Medicine 2.0 (การแพทย์ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน)

……

Medicine 1.0 การแพทย์ยุคโบราณ ตั้งแต่สมัยฮิบโปเครตีส ข้อสรุปมาจากการสังเกตเป็นหลัก

Medicine 2.0 การแพทย์ที่มุ่งไปที่การรักษาที่ปลายทางเป็นหลัก เริ่มต้นในช่วง ค.ศ.1900+ หลังจากที่มนุษย์ค้นพบทฤษฎีเชื้อโรค เกิดวัคซีน ยาปฎิชีวนะ การผ่าตัด และ เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน

Medicine 3.0 การแพทย์ที่มุ่งไปที่การป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุของโรค ถ้าโรคหัวใจเริ่มเป็นตอนอายุ 60 ปี medicine 2.0 จะมีบทบาทตอนต้องมาใส่สาย สวนหัวใจฉุกเฉินหรือผ่าตัดทำบายพาส ในขณะที่ Medicine 3.0 จะมุ่งไปที่การกินและการใช้ชีวิตของบุคคลตั้งแต่อายุ 20 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคหัวใจตอนอายุ 60 ปี

…..

Medicine 3.0 Ref. Outlive, Peter Attia

กลับมาที่กราฟกันครับ

แกนแนวตั้ง คือ Healthspan ความหมายคือ ความแข็งแรงของร่างกายที่อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสูง ช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนจะเริ่มจาก 100% จนค่อยๆลดลงตามอายุที่มากขึ้น ไปจบที่ 0% ก็คือความตายของเรานั่นเอง

แกนแนวนอน คือ Lifespan หรือ อายุขัย นั่นเอง อันนี้คืออายุที่เป็นตัวเลขนับตามปฎิทิน อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ จากผลของ Medicine 2.0 ที่ปัจจุบันเราไม่เสียชีวิตจากการสาเหตุการตายของคนโบราณอีกแล้ว (ภาวะขาดสารอาหาร โรคติดเชื้อ โรคระบาด หรือ โรคฉุกเฉินต่างๆ)

Medicine 2.0 ทำงานได้ดีมาก เพราะยืดอายุขัยให้มนุษย์อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ Medicine 2.0 ไม่ได้พูดถึงเยอะ คือ Healthspan ซึ่งนอกจากอายุจะเยอะต้องเยอะแบบมีคุณภาพด้วยนั่นเอง

เราลองมาดูกราฟนะครับ

เส้นสีดำ (เส้นซ้ายสุด) เส้นซ้ายสุด คือ เส้นของคนทั่วในปัจจุบันนี้ ที่ Healthspan จะเริ่มลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน และลดอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ และต่ำกว่า 50% เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของชีวิต และเราอาจจะอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เป็นระยะเวลาหลายปีก่อนจะหมดลมหายใจ

คำว่า “No Intervention” คือ การไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษเพื่อชะลอภาวะนี้ เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

เส้นปะ (เส้นกลาง) จะวิ่งคู่ขนานมากับเส้นสีดำ เส้นนี้คือเส้นของคนที่ทำตาม Medicine 2.0 นั่นคือ การกินยารักษาโรค การเข้าโรงพยาบาลรักษาอาการผิดปกติ การรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ (NCDs) Medicine 2.0 ทำงานได้ดีมากกับการจัดการโรคติดเชื้อ และการผ่าตัดภาวะฉุกเฉินต่างๆที่ทำให้คนอาจตายได้อย่างรวดเร็วในอดีต เช่น ไส้ติ่งอักเสบ หรือ ภาวะทารกคลอดติดไหล่

แต่ Medicine 2.0 กลับทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย ในแง่ของการรักษาภาวะท้ายๆของคนที่อยู่ในช่วงปลายอายุขัยแล้ว ในช่วงที่ Healthspan ของเราต่ำกว่า 30% ลงไปแล้ว (30% เป็นตัวเลขประมาณว่า เราไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้ว เช่น การไปห้องน้ำต้องมีคนช่วย เป็นต้น) เมื่อคนกลุ่มนี้มีปัญหาทางสุขภาพ Medicine 2.0 มักจะทำได้เพียงยื้อชีวิต (เพิ่ม lifespan โดยไที่ไม่ได้เพิ่ม healthspan) ออกไป และมักจะยื้อได้ดีแต่เราอาจจะไม่ได้อยู่สภาวะที่จะเสียชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี (Death with dignity)

…..

กลับมาที่ใจความหลักของเรื่องราวครับ

เส้นปะเส้นขวาสุด ก็คือ “Medicine 3.0”

ที่เป็นเรื่องราวที่เน้นไปที่การป้องกันในทุกวิถีทางที่จะทำให้ healthspan อยู่กับเราให้นานที่สุด รักษาระดับของการช่วยเหลือตนเองได้ให้ได้ให้นานที่สุด และเสียชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุด (การตายอย่างมีเกียรติ ท่ามกลางลูกหลาน ที่วันสุดท้ายก่อนตายยังได้อยู่ท่ามกลางครอบครัว ช่วยเหลือตนเองได้ และหมดลมหายใจไปเองในตอนกลางคืน)

คำถาม คือ เราต้องทำอย่างไรกับ Medicine 3.0 บ้าง

คำตอบ คือ เราต้องป้องกัน 4 มฤตยูที่เป็นต้นเหตุสำคัญของการถดถอยของ Healthspan ที่จะเริ่มเกิดในช่วงวัยกลางคนของมนุษย์ปัจจุบัน (Medicine 2.0) นั่นเองครับ ซึ่ง 4 มฤตยูนี้ คือ

1.) โรคหัวใจ (Heart disease)
2.) มะเร็ง (Cancer)
3.) ความเสื่อมของระบบประสาท ได้แก่ อัลไซเมอร์ และ พาร์กินสัน
4.) เบาหวานประเภทที่ 2 และ Metabolic Syndrome

ถ้าเราปราศจาก 4 อย่างนี้ โอกาสที่เราจะมี Healthspan ที่อยู่ในระดับที่สูงจนถึงช่วงปลายสุดของชีวิตก็ย่อมมากที่สุดตามไปด้วย

Dr.Attia ฝากข้อคิดหนึ่งที่ผมอ่านแล้วมันสะกิดใจแบบสุดๆครับ คือ

เรามักถูกสอนว่าห้ามทำอะไรที่มีความเสี่ยง แต่บางครั้งการไม่ทำอะไรกลับเป็นความเสี่ยงยิ่งกว่า ซึ่งความเสี่ยงของการไม่ทำอะไรก็ต้องนำมาคิดด้วยเช่นกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *