การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัว (Erectile Dysfunction Treatment)

การรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัวเพียงพอ ทำได้หลายวิธีดังนี้ โดยจะเริ่มตั้งแต่การทานยาไปจนถึงการผ่าตัด รวมถึงวิธีการใช้เครื่อง Shockwave ที่เป็นการรักษาแนวใหม่ที่ได้ผลดีและไม่เจ็บตัวในปัจจุบัน

ยาชนิดรับประทาน

ซึ่งยาทุกตัวจะมีผลกับ Nitric Oxide ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้เลือดคั่งอยู่ในอวัยวะเพศได้นานขึ้นและทำให้น้องชายแข็งตัวได้นานขึ้นนั่นเอง

กลไกการออกฤทธิ์ของยา

ยากลุ่มนี้ทั้งหมด เมื่อทานไปแล้วไม่ได้ทำให้น้องชายแข็งตัวทันที เราจะต้องมีสิ่งที่เข้ามากระตุ้นก่อนเสมอเหมือนเวลามีอารมณ์โดยทั่วไป ต้องมีสัญญาณจากสมองส่งมาที่กล้ามเนื้อของเส้นเลือดแดงภายในน้องชายให้หลั่ง Nitric Oxide ออกมา เมื่อนั้นยาจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ครับ แปลว่า ถ้าเราไม่มีอารมณ์ยังไงก็ปลุกไม่ตื่นนั่นเอง แต่ถ้าเรามีอารมณ์แต่ดันปลุกไม่ตื่น ยาตัวนี้จึงช่วย

ยากินมีกี่ชนิด

โดยยาปัจจุบันที่ใช้กันจะมี 4 ชนิด คือ Sildenafil, Tadalafil, Vardenafil, Avanafil โดยแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไปในเรื่องของระยะเวลาการออกฤทธิ์ต่างๆ

  • Sildenafil (Viagra):
    • เป็นยาตัวแรกที่ออกสู่ตลาด
    • มีขนาดยา 3 ขนาด ดังนี้ 25, 50 และ 100 mg. โดยขนาดยาที่ใช้รักษา ED คือ 50 mg.
    • ***ขนาดยาสูงสุดต่อวันคือ 100 mg.***
    • ทานก่อนมีกิจกรรม 30 – 60 นาที
    • ยาจะออกฤทธิ์อยู่นานประมาณ 4 ชั่วโมง
    • ไม่ควรรับประทานนานเกิน 1 ครั้งต่อวัน
  • Tadalafil (Cialis):
    • เป็นยาที่ออกแบบให้รับประทานรายวัน
    • มีขนาดยา 2 ขนาดคือ 5 และ 20 mg.
    • รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนเริ่มกิจกรรม 30 นาที
    • ยาออกฤทธิ์ได้นานถึง 36 ชั่วโมง
  • Vardenafil (Levitra, Staxyn):
    • มีขนาดยา 2 ขนาด คือ 10 และ 20 mg.
    • รับประทานวันละ 1 ครั้ง
    • รับประทานก่อนเริ่มกิจกรรม 1 ชั่วโมง
    • ยาจะออกฤทธิ์ได้นานประมาณ 5 ชั่วโมง
  • Avanafil (Stendra):
    • มีขนาดยา 2 ขนาด คือ 100 และ 200 mg.
    • รับประทานวันละ 1 ครั้ง
    • รับประทานก่อนเริ่มกิจกรรม 15 – 30 นาที
    • ยาจะออกฤทธิ์ได้นานประมาณ 6 ชั่วโมง

ผลข้างเคียงของการทานยา

  • ปวดหัว
  • ร้อนวูบวาบ
  • ปวดหลัง
  • อวัยวะเพศแข็งตัวนานกว่า 4 ชั่วโมง (priapsm)
  • สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
  • หูได้ยินเสียงผิดปกติ
  • เวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน

ข้อควรระวัง

  • ยากลุ่มนี้ (PDE-5 Inhibitor) ถึงแม้จุดประสงค์ในการรักษาจะเป็นเรื่องของอวัยวะเพศชาย แต่กลไลการออกฤทธิ์นั้นคือเส้นเลือด 100% และเส้นเลือดของเรานั้นมีอยู่ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะเส้นที่สำคัญที่สุดคือเส้นเลือดแดงที่หัวใจ การทานยาโดยไม่มีข้อมูลและความรู้สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายอย่างรุนแรงได้
  • คนที่เป็นโรคหัวใจ และทานยาแก้เจ็บหน้าอกในกลุ่ม Nitrate อยู่ ห้ามทานยากลุ่ม PDE-5 Inhibitor เด็ดขนาด เพราะกลไกของยาจะไปต้านกันโดยธรรมชาติ และนำมาสู่ผลเสียอย่างร้ายแรง
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ ความดันโลหิตไม่ปกติ หลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้

สิ่งที่มักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทานยา

  • เนื่องจากเป็นยากลุ่มที่มีขายกันในออนไลน์โดยบุคคลทั่วไป จึงเป็นยาที่ถูกซื้อขายและใช้กันอย่างแพร่หลายแบบไม่ถูกต้อง เราไม่สามารถเช็คได้ว่ายาที่ท่านได้มาจากออนไลน์เป็นยาจริงหรือไม่ (counterfeit drug) ดังนั้นจึงมีอันตรายสูง
  • กลไกการออกฤทธิ์ของยาจะทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ต่อเมื่อต้องมีสิ่งเร้าแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทานเข้าไปแล้วอวัยวะเพศจะแข็งตัวได้เอง

การจะทานยาตัวนี้ ต้องระมัดระวังอย่างมาก ในคนที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำเป็นทุนเดิม คนที่มีโรคหัวใจ และคนที่ทานกลุ่มของ Nitrate เพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอกทุกคน และเราไม่ควรซื้อทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ


ยาชนิดฉีด

จะเป็นการฉีดยาเข้าไปในบริเวณฟองน้ำ (corpus cavernosum) ของน้องชาย ยาที่ใช้ก็จะเป็นกลุ่มของยาขยายหลอดเลือดบริเวณน้องชายทำให้เลือดมาคั่งบริเวณนี้มากขึ้น เช่น ยา Alprostadil ซึ่งยากลุ่มนี้แพทย์จะพิจารณาใช้เป็นตัวเลือกรองในกรณีที่การทานยา PDE-5 Inhibitor ไม่ได้ผลหรือเป็นข้อห้าม โดยกลุ่มของยาฉีดที่ใช้ในการรักษาภาวะน้องชายไม่แข็งตัวจะมี 2 ชนิดคือ Alprostadil และ Papaverine

ยาฉีดรักษาน้องชายไม่แข็งตัวมีอะไรบ้าง

  • Alprostadil (Prostaglandin E1) เป็นยาหลักที่ใช้
  • Papaverine และ Phentolamine

กลไกการออกฤทธิ์ของยาฉีด

  • ยาจะไปทำให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณเส้นเลือดคลายตัว เพื่อให้เลือดสามารถเข้ามาคลั่งได้มากขึ้น
  • ยาจะออกฤทธิ์ภายใน 5 – 20 นาที หลังฉีด และจะมีผลต่อเนื่องไปประมาณ 1 ชั่วโมง

ความเสี่ยงและผลข้างเคียง

  • อาการเจ็บหรือปวดแสบบริเวณที่ฉีดยา
  • ภาวะโด่ไม่รู้ล้ม หรือ อวัยวะเพศแข็งตัวนานเกินกว่า 4 ชั่วโมง
  • แผลเป็นบริเวณที่ฉีด

ข้อควรระวัง

  • ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงของอันตรายที่จะเกิดขึ้

การใช้ยาฉีดเพื่อรักษาภาวะอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัวนั้น เป็นอีกทางเลือกที่สามารถทำได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ และไม่ควรทำด้วยตนเอง


การใช้เครื่อง Shockwave เพื่อรักษาภาวะ ED

ถือเป็นการรักษาแนวทางใหม่ที่ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องทานยา และไม่ต้องฉีดยา คือ การใช้เครื่อง Low-Intensity Shock Wave Therapy หรือ การรักษาด้วยคลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำแบบแรงกระแทกจากภายนอก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) ทำให้การฟื้นฟู ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นจากการกระตุ้นหลอดเลือดที่มีอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นแนวทางการรักษาวิธีใหม่ที่ไม่ต้องทานและไม่ต้องฉีดยาใดๆ

กลไกการออกฤทธิ์

การใช้เครื่อง Low-Intensity Shock Wave Therapy หรือ การรักษาด้วยคลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำแบบแรงกระแทกจากภายนอก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีการเปลี่ยนดังนี้

  • เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ บริเวณเส้นเลือดแดงที่อวัยวะเพศชาย
  • มีการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฟื้นฟูแก่เนื้อเยื่อเช่น TGF-ß1, VEGF
  • กระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศชายมากขึ้น

ผลสุดท้ายคือการ สร้างเส้นเลือดใหม่ (angiogenesis) ทำให้การฟื้นฟู ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศดีขึ้นจากการกระตุ้นหลอดเลือดที่มีอยู่แล้ว

ขั้นตอนการทำ Shockwave

  • เริ่มจากการกระตุ้นบริเวณต่างๆของอวัยวะเพศเพื่อให้ครอบคลุมบริเวณที่เรียกว่า “corpus cavernosum” ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อภายในอวัยวะเพศ การทำ Shockwave สามารถใช้ได้จำนวนสูงสุด 5,000 shots กระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศ 5 ตำแหน่งเพื่อครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณของอวัยวะเพศและกล้ามเนื้อรอบๆที่เกี่ยวข้อง
  • นอกจากนั้นการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นยังสามารถวัดได้จากผลการวิเคราะห์ต่างๆและคนไข้ส่วนใหญ่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติหลังได้รับการรักษา 5 ครั้ง และผลการรักษาดังกล่าวอยู่ได้นานถึง 6 สัปดาห์ โดยอาจแตกต่างกันได้ในคนไข้แต่ละราย

ต้องรับการรักษาบ่อยแค่ไหน

  • ในการรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยวิธี Low-Intensity Shock wave Therapy จะใช้เวลาในการรักษา ประมาณครั้งละ 30 นาที โดยทำวันเว้นวัน หรือ อาจเป็นวันเว้น 2 วัน แต่ไม่แนะนำให้รับการรักษาติดต่อกันทุกวัน หรือห่างเกิน 2 วัน รวมจำนวน 5 -7 ครั้ง แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์
  • ในระหว่างรับการักษาไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ หรือ ให้ยาแก้ปวดแต่อย่างใด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล รวมทั้งสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้หลังการรักษาภายในวันเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดกิจกรรมแต่อย่างใด

การรักษาโดยใช้เครื่องมือ Shockwave เป็นวิธีที่ง่ายเนื่องจากคนไข้จะไม่เจ็บ

งานวิจัยที่รองรับ

  • คนไข้ที่ได้รับการรักษาไปแล้วให้คะแนนความพึงพอใจหลังการรักษาเพิ่มขึ้นถึง 7 points ตามหลักการของ IIEF (International Index of Erectile Function)
  • มีงานวิจัยที่ได้ทดสอบผู้ชาย 75 คน พบว่าหลังการรักษาด้วย Shockwave ไป 81% ของผู้เข้าทดลองมีการเพิ่มของคะแนน IIEF-5 ภายหลังการได้รับการรักษาไป 1 เดือน และมีผลต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน สามารถดูข้อมูลของงานวิจัยได้ที่นี่

การผ่าตัดเพื่อแก้ไข

สามารถใส่แกนองคชาติเทียม (Penile implant) หรือการใช้เครื่องสุญญากาศได้ (Vacuum device)


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *